แพทย์ทหารเตือนประชาชน “ในช่วงฤดูฝน หากมีอาการป่วยหลังกลับจากป่า อาจป่วยเป็นมาลาเรีย”
จากข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สถานการณ์โรคไข้มาลาเรียในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 13 กรกฎาคม 2565 พบผู้ป่วย 4,765 ราย มากกว่าจำนวนการรายงานผู้ติดเชื้อในปี 2564 ถึง 2.6 เท่า กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-44 ปี รองลงมาคือ 15-24 ปี และอายุ 5-14 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ตาก 2,724 ราย แม่ฮ่องสอน 757 ราย และกาญจนบุรี 429 ราย ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกร (ร้อยละ 48.0) รับจ้าง (ร้อยละ 25.0) และเด็ก/นักเรียน (ร้อยละ 24.0) ชนิดเชื้อส่วนใหญ่ คือ P.Vivax (ร้อยละ 93.8) รองลงมา P.Falciparum (ร้อยละ 3.0) ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเชื้อ P.Vivax จะเป็นเชื้อชนิดรุนแรงน้อยกว่า P.Falciparum แต่ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถอยู่ในร่างกายคนได้นานหลายปี ทําให้มีอาการของโรคไข้มาลาเรียแบบเป็นๆ หายๆ
สำหรับในช่วงนี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญพันธุ์ของยุง ซึ่งเป็นพาหนะนำโรค โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชนบทชายป่า หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำ ทำให้มีโอกาสเกิดโรค และมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนได้ โรคไข้มาลาเรีย หรือมีชื่อเรียกได้อีกว่า ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ร้อนเย็น ไข้ดอกสัก ไข้ป้าง มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งเป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางคืน ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อมาจากการถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด แต่สาเหตุอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ การถ่ายโลหิต เป็นต้น เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย เชื้อจะอยู่ในตัวยุงประมาณ 10-12 วัน เมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อมาลาเรียจากต่อมน้ำลายเข้าสู่คน จึงทำให้คนที่ถูกยุงกัดเป็นไข้มาลาเรีย อาการเริ่มแรกของไข้มาลาเรียจะเกิดขึ้นหลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-14 วัน จะมีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้นจะมีอาการหนาวๆ ร้อนๆ เหงื่อออก อ่อนเพลียและเหนื่อย หากประชาชนมีอาการดังกล่าว หลังมีประวัติเคยเข้าไปในป่าหรืออาศัยอยู่ในป่า ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือนก่อนเริ่มป่วย ให้รีบไปพบแพทย์ และให้ประวัติการเดินทางเข้าป่าหรือพักอาศัยในป่า
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า เนื่องจากโรคไข้มาลาเรียไม่มีวัคซีนและไม่มียา เพื่อป้องกันการเกิดโรคโดยเฉพาะ ดังนั้น หากต้องเดินทางเข้าป่าหรือไปในพื้นที่เสี่ยงควรป้องกันตนเอง ดังนี้
1) สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดแขนขาให้มิดชิด
2) ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง
3) นอนในมุ้งชุบน้ำยาทุกคืน ใช้มุ้งชุบน้ำยาคลุมเปลเมื่อไปค้างคืนในไร่นาป่าเขา
ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 และแพทย์ทหาร มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 รวมทั้งพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ต่อโรคภัยดังกล่าว หากพบว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่ามีภาวะหรืออาการขั้นต้น ควรรีบไปพบแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ, สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้าน เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน จะได้รับการรักษาที่เหมาะสม และช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้
ในการนี้ จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่ากองทัพภาคที่ 3 โดย โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตทุกโอกาส
********************************
คณะบรรณาธิการข่าว กองทัพภาคที่ 3
29 กรกฎาคม 2565
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น