สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ
วันที่ 19 มีนาคม 2564 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 125 ณ พิพิธภัณฑ์ทหารกลางแจ้ง กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พร้อมด้วย พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกฯ, พันโท วรปรัชญ์ กาศสกุล และ พันโท หญิง บุณฑริกา ฑีฆวาณิช ผู้ช่วยโฆษกฯ เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้.-
ตามที่ประเทศไทย ได้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กและคุณภาพอากาศ ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 มาจนถึงปัจจุบัน สถานการณ์จุดความร้อนและค่าคุณภาพอากาศทางภาคเหนือ เริ่มส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการบริหารจัดการเชื้อเพลิง และการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่ทางการเกษตร รวมถึงปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีปริมาณสูงขึ้น อีกทั้งประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้ง ประกอบกับสภาพอากาศปิด ลมสงบนิ่ง จึงส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโดยรวมของพื้นที่ภาคเหนือค่อนข้างมาก
กองทัพภาคที่ 3 และทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาและร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ ในการลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนืออย่างจริงจัง โดยได้วางมาตรการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ดังนี้.-
1) กำหนดการปิดป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 61 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 30 เมษายน 2564 และขอให้ทุกจังหวัดเร่งรัดการควบคุมไฟป่า และการเผาในพื้นที่โล่งอย่างเข้มงวด
2) ประกาศให้ภาคเหนือตอนบน เป็นพื้นที่ “ห้ามเผาโดยเด็ดขาด” หากมีความจำเป็นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อำเภอ หรือจังหวัดก่อน เพื่อให้มีการเฝ้าระวังและควบคุมเพลิงไม่ให้ลามไปยังพื้นที่ป่า และดับไฟให้เรียบร้อยเมื่อเสร็จภารกิจ
3) เพิ่มการลาดตระเวนพื้นที่เฝ้าระวังและดับไฟ การใช้มาตรการเข้มข้น รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ลำปาง และตาก ที่มีค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานมากว่า 2 สัปดาห์ พร้อมทั้งดำเนินประสานกับหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ อีกทั้งเสริมชุดสนับสนุนในการปฏิบัติภารกิจบริเวณพื้นที่ชายแดน จาก กรมทหารพรานที่ 32, กรมทหารพรานที่ 33 และกรมทหารพรานที่ 35
4) ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการดับไฟป่าโดยทันที เมื่อเกิดจุดความร้อน ประกอบด้วย ชุดเหยี่ยวไฟ จากสำนักจัดการป่าไม้ รับผิดชอบพื้นที่ป่าสงวน, ชุดเสือไฟ จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ รับผิดชอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์, ชุดรณรงค์สร้างการรับรู้ ของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 15 ชุดปฏิบัติการ, ประชาชนจิตอาสา ประกอบด้วย จิตอาสาภัยพิบัติท้องถิ่น ตำบลละ 50 นาย, อาสาสมัครป้องกันไฟป่า, ราษฎร์สู้ไฟป่า รวมถึงเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่า ซึ่งทุกชุดปฏิบัติการได้ผ่านการอบรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาเป็นอย่างดี
5) ได้รับการสนับสนุนอากาศยานที่ใช้ในการปฎิบัติภารกิจในพื้นที่ภูเขาสูงชัน เข้าถึงยากลำบาก ได้แก่
1. เครื่องบินใช้งานทั่วไป แบบ U-17 จาก กองทัพบก บ.ท.17 (U-17)
2. เฮลิคอปเตอร์ AS-350 B2 จาก กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
3. เฮลิคอปเตอร์ AS-350 B2 จาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4. เฮลิคอปเตอร์ KA – 32 จาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้ปฏิบัติการ
ทิ้งน้ำดับไฟป่าไปแล้วกว่า 122 เที่ยว ปริมาณน้ำ 256,000 ลิตร
5. อากาศยานไร้คนขับ UAV จาก กองทัพอากาศ
6. โดรน จำนวน 70 ตัว จาก ภาคประชาชนจิตอาสา
7. โดรน จำนวน 4 ตัว จาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
6) สำหรับปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน กรมควบคุมมลพิษได้ส่งหนังสือไปยังเลขาธิการอาเซียน เพื่อให้แจ้งเตือนไปยังประเทศดังกล่าว เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จะประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนและถาวรได้นั้น ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการแก้ไขปัญหา โดยจะต้องประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เกิดจิตสำนึกมีความรักและหวงแหนป่าไม้ในบ้านเกิด รวมถึงให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตลอดจนต้องมีการวางแผนในให้เป็นระบบแบบแผนตามลำดับขั้นตอนได้อย่างมั่นคงและทันท่วงที
********************************
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น